กระบี่มารต๊กโกวฉิวไป๊ - Kim Mo Tuk Ku Kau Pai (1989)
โพสต์
26 ก.ค., 2564
[stt/7.3]
Kim Mo Tuk Ku Kau Pai - กระบี่มารต๊กโกวฉิวไป๊
ต๊กโกวคิ้วป้าย (เดียวดายแสวงหาความพ่ายแพ้) นั้นไม่ปรากฏที่มาที่ไป หรือชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงเลยสักครั้ง เพียงแต่ถูกกล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่า เป็นยอดฝีมือที่มีอายุอยู่ในช่วงก่อนมังกรหยก ภาค 2 เพียง 80 ปีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าต้องเป็นรุ่นก่อนหน้าของห้ายอดฝีมือ เป็นช่วงกึ่งกลางระหว่างแปดเทพอสูรมังกรฟ้า กับ มังกรหยก ภาค 1 แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงโดยเลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเขียนอธิบายของกิมย้งทำให้ทราบว่าช่วงก่อนหน้านั้น ต๊กโกวคิ้วป้ายได้สังหารยอดฝีมือของฝ่ายธรรมะและอธรรมเป็นจำนวนมาก จนแทบจะหมดยอดฝีมือไปช่วงหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลของการก้าวขึ้นเป็นยอดฝึมือของห้ายอดฝีมือนั่น และการที่ยอดฝีมือทั้งห้าไม่เคยกล่าวถึงต๊กโกวคิ้วป้ายมาก่อนเลย แม้จะมีผู้คนวิเคระห์ว่าหลังจากที่ต๊กโกวคิ้วป้ายไร้คู่ต่อสู้ก็ปลีกตัวหายไปจากยุทธจักรอย่างเงียบงัน ตามการอธิบายนี้ เหตุการณ์ที่อึ้งเซียะซึ่งเป็นยอดคนในสมัยราชวงศ์ซ่ง จึงไม่น่าจะมีโอกาสปะทะกับ ต๊กโกวคิ้วป้าย ได้จริงๆ
คิดค้นสุดยอดวิชา
เก้ากระบี่เดียวดายคือเคล็ดกระบี่ 9 เคล็ด ประกอบด้วย (เคล็ดทำลายกระบี่ เคล็ดทำลายดาบ เคล็ดทำลายทวนและกระบอง เคล็ดทำลายโซ่และฉมวก เคล็ดทำลายแส้ เคล็ดทำลายฝ่ามือ เคล็ดทำลายเกาทัณฑ์ (อาวุธลับ) เคล็ดทำลายลมปราณ และเคล็ดรวม) วิชาเก้ากระบี่เดียวดายเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่มีกระบวนท่าตายตัว โดยเนื้อแท้แล้ว เคล็ดทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "หาจุดอ่อนในจุดอ่อนนั่นเอง" ความหมายของจุดอ่อนในจุดอ่อนก็คือ จุดอ่อนที่ไม่สามารถละเลยได้ ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ทุกกระบวนท่ามีจุดอ่อน จะมากน้อยขึ้นกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เมื่อมองเห็นจุดอ่อนในจุดอ่อนเราก็สามารถจู่โจมจุดนั้น ผลก็คือคู่ต่อสู้ต้องป้องกันตัว ระหว่างป้องกันตัวก็จะมีจุดอ่อนเกิดขึ้นอีก เราก็โจมตีจุดอ่อนนี้อีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนชนะ สรุปง่ายๆ ทุกกระบวนท่าสามารถทำลายได้ และเก้ากระบี่เดียวดายเป็นเคล็ดวิชาทำลายแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าคู่ต่อสู้ใช้ 1 ท่าเก้ากระบี่เดียวดายก็มีเพียง 1 ท่า ถ้าคู่ต่อสู้ใช้ 100 ท่า เก้ากระบี่เดียวดายก็มี 100 ท่าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเก้ากระบี่เดียวดายจะเป็นเคล็ดที่ไม่แพ้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะชนะเสมอไป เพราะเมื่อใช้เก้ากระบี่เดียวดายจะเกิดกระบวนท่า ซึ่งสามารถถูกทำลายได้เช่นเดียวกัน หรือจะให้พูดกันตรงๆก็คือ เก้ากระบี่เดียวดาย มีโอกาสเสมอ เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีประสบการณ์สูงกว่า นั้นเอง
แสวงพ่าย ไร้คู่ต่อกร
มารกระบี่ไร้พ่าย ต๊กโกวคิ้วป่าย ผู้บัญญัติวิชากระบี่เดียวดาย มีทั้งหมดแปดเคล็ด สยบอาวุธทั้งปวงในยุทธภพ หลังจากท่านได้สยบผู้คนมาทั่วยุทธภาพแล้ว ครั้งหนึ่งท่านได้ประลอง กับ อึ้งเซียะ ผู้บัญญัติวิชา เก้าอิมจินเอ็ง(สัจจะ9ปี) ท่านไม่เคยต้องใช้กระบี่สยบลมปราณที่กราดเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อนทำให้ การประลองยุทธที่ดุเดือดที่สุดในยุทธจักรก็อุบัติขึ้นโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ การรุกรับหักล้างกันของทั้งสองดำเนินไปติดต่อกันถึง3วัน3คืน การประลองออกมาไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะซะทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้กลับมาตัดสิน หลังจากการประลองครั้งแรกจบลง อึ้งเซียะที่สู้จนหมดแรง ต้องพบเคราะห์ร้ายจากศัตรูที่รอซ้ำเติมหลังการประลองระหว่างต๊กโกวกับอึ้งเซียะ ทำให้อึ้งเซียะหายสาบสูญจากยุทธภพไปนานถึง 40 ปี
(เกร็ดเล็กน้อย)ในการประลองระหว่าง อึ้งเซียะและต๊กโกว ทั้ง 2 ต่างชื่นชมกันเป็นอย่างมาก หลังการประลองจบลง
อึ้งเซียงประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า "เพลงกระบี่ของพี่ต๊กโกว ลึกล้ำสูงส่งยิ่งนัก ข้าพเจ้านับถือยิ่ง"
ต๊กโกวก็กล่าวตอบกลับ "พลังภายในของเจ้าก็กร้าวแกร่งหนักแน่น นับเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้โดยแท้ นับตั้งแต่ข้าท่องยุทธภพมา มีเจ้าเป็นคนแรกที่รับมือ8กระบี่ต๊กโกวได้ถึงเพียงนี้ เสียดายแต่ว่าเจ้ามีพลังภายในยอดเยี่ยม แต่กลับมีกระบวนท่าเรียบง่ายไม่เพียงพอต่อการฉกฉวยโอกาส มิเช่นนั้นความหวังที่จะพ่ายแพ้ของข้า คงพอจะมีอยู่บ้างแล้ว"
"แม้ในใจของข้าจะแสวงหาความพ่ายแพ้เพราะไม่อาจพบพานคู่มือที่เปรียบติด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมสยบให้ผู้คนโดยง่าย หลังจากนี้ข้าจะลองคิดค้นกระบวนท่าที่จะทำลายพลังลมปราณของเจ้าดูบ้าง! เมื่อเจ้าคิดค้นกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมได้บ้างแล้ว เราสองจงมาประลองกันอีกครั้ง ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ "
หลังจากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ได้คิดค้นสุดยอดวิชาของตนเองขึ้น ต๊กโกวคิดค้นเพลงกระบี่ท่าที่เก้าสยบลมปราณ สำเร็จรวมเคล็ดทั้ง 9 เป็น เก้ากระบี่เดียวดาย ส่วนอึ้งเซียะก็คิดค้นวิชากรงเล็บกระดูกขาว เก้าอิมจินเอ็ง จนสำเร็จ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า นับจากนั้นเป็นต้นมาทั้ง 2 ก็มิเคยได้พบหน้ากันอีกเลย
นับเป็นอีกเทคนิคหนึ่งของท่านกิมย้งที่ต้องการสร้างเรื่องราว ให้ผู้อ่านได้ไปจินตนาการต่อกันเอง อย่างลึกซึ้งและน่าค้นหาอย่างทีสุด
บั้นปลายของผู้ไม่แพ้ ปิดตำนานยุทธภพ
ต๊กโกวได้ท่องเที่ยวเสาะหาเบาะแสของอึ้งเซียะ เพียงลำพัง และยังคิดค้นกระบวนท่าที่9 "ทำลายลมปราณ"เพิ่มเติมลงจากเดิม8ท่าได้สำเร็จ เรียกเพลงกระบี่ทั้งหมดที่ตนเองคิดขึ้นมาว่า "เก้ากระบี่เดียวดาย" สยบเหล่าศัตรูและผู้กล้าได้ทั่วทั้งแผ่นดิน ความหมายของคำว่าเดียวดายนอกจากจะบ่งบอกถึงความเศร้าที่ไร้ผู้เปรียบติดแล้ว ยังแสดงถึงความคิดคำนึงถึงอึ้งเซียะสหายผู้ทัดเทียมเพียงคนเดียว ส่วนกระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ที่ใช้ต่อสู้กับอึ้งเซียะ ต๊กโกวได้ขว้างทิ้งลงหน้าผา เนื่องเพราะมันได้ทำร้าย"จอมยุทธฝ่ายธรรมะ"ที่แท้จริงอย่างอึ้งเซียงไป จึงนับเป็นศาสตราอัปมงคลยิ่ง และหันไปใช้กระบี่นิลที่ไร้คมและมีน้ำหนักมากแทน ส่วนหนึ่งก็เพื่อคิดค้นกระบวนท่าทำลายลมปราณเพื่อรอวันที่อึ้งเซียะจะหวนกลับมาตามคำมั่นสัญญา ทว่า ผ่านกาลเวลาไปหลายสิบปี ต๊กโกวก็ยังไม่พบเห็นข่าวคราวของอึ้งเซียะเลย ทั้งยังได้ยินว่าศัตรูของอึ้งเซียะที่มีอายุมากหลายคน ได้พากันล้มตายไปตามอายุขัยเยอะแล้ว จึงได้ละทิ้งยุทธภพที่ไร้ซึ่งคู่มือตน ไปพำนักยังสถานที่เร้นลับและได้พบกับอินทรีน้อยตัวหนึ่งที่บินไม่ได้ อินทรีตัวนี้มีความจำดีเยี่ยมยิ่งนัก มันคอยมองดูวิธีการฝึกปรือของต๊กโกวจนขึ้นใจ แล้วนำไปดัดแปลงใช้จับเหยื่อหากิน ชดเชยข้อเสียเปรียบที่บินไม่ได้ กระทั่งมันเติบใหญ่สูงกว่าต๊กโกว ต๊กโกวจึงยึดเอามันเป็นคู่ซ้อมมือแก้เหงา จนในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตไร้กระบี่เหนือกระบี่ และได้ฝังกระบี่ที่เคยใช้ทั้งหมดไว้ พร้อมกับเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับกระบี่ของตน ก่อนจะสิ้นชีพในอีกไม่กี่ปีต่อมาอย่างสงบ
มรดกของต๊กโกวคิ้วป้าย
อมตะวาจา
ท่องยุทธจักร กว่าสามสิบปีพิชิตศัตรู สังหารอริราช วีรบุรุษห้าวหาญ ทั่วทั้งโลกหล้าไร้ผู้ต่อกร สิ้นผู้ทัดเทียม ได้แต่เร้นกายในหุบเขาลึก มีอินทรีเป็นเพื่อน โออนิจจาในชีวิตคิดแสวงหาคู่มือสักคนยังไม่พบพาน นับว่าเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างสุดคณา
"ลงชื่อ เกี่ยมม้อ (กระบี่อสูร) ต๊กโกวคิ้วป่าย"
สุสานกระบี่
อีกสิ่งที่ต๊กโกวคิ้วป่ายได้ทิ้งไว้ และยืนยันถึงการมีตัวตนและระดับพลังฝีมือในเชิงกระบี่ของเขา นั้นคือสุสานกระบี่ ซึ่งต่อมาในมังกรหยกเอี้ยก้วยได้เป็นผู้ไปพบเข้า โดยสุสานกระบี่นั้นตั้งอยู่บนแท่นหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผาสูงชัน จารึกข้อความไว้ว่า กระบี่อสูรต๊กโกวคิ้วป่าย เมื่อพิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน จึงฝังกระบี่ไว้สถานที่นี้ โอ้อนิจจา เหล่าผู้กล้าอับจนวิธี เสียทีที่กระบี่คมกล้า เป็นที่น่าอนาถใจ เอี้ยก้วยเมื่อเห็นข้อความก็รู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีนิสัยทระนงถือดี ท่องเที่ยวเพียงลำพัง มีส่วนคล้ายกับนิสัยใจคอของเขา สุสานกระบี่ก็ครอบครองชัยภูมิที่ดี คาดว่าคนผู้นี้ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นและบู๊ มีปณิธานเหนือคนธรรมดา นับเป็นยอดคนที่น่าเลื่อมใส ในสุสานกระบี่มีกระบี่วางเรียงอยู่บนแท่นหินเขียว กระบี่ที่วางเรียงมีสามเล่ม ระหว่างเล่มแรกกับเล่มที่สองขั้นไว้ด้วยแผ่นหินแท่งยาวแท่งหนึ่ง
ใต้กระบี่แรกได้สลักอังษรไว้ว่า เกรี้ยวกราดรุนแรง ทำลายล้างทุกสิ่ง เมื่อวัยหนุ่มฉกรรจ์ ใช้ชิงชัยกับเหล่าผู้กล้าแคว้นฮ่อซวก ลักษณะกระบี่มีความยาวประมาณสี่เชียะ เปล่งประกายสีเขียว นับเป็นศัสตราวุธคมกล้า
ถัดมาเป็นแท่งหิน เมื่อยกขึ้นมีข้อความจารึกไว้ว่า กระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ใช้ก่อนอายุสามสิบ พลั้งมือทำร้ายผู้กล้าฝ่ายธรรมมะ ถือเป็นสิ่งอัปมงคล โยนทิ้งลงสู่ก้นหุบเหว
กระบี่เล่มที่สาม เป็นกระบี่สีดำมีน้ำหนักมาก ปลายโค้งมนไม่มีคม กระบี่แบบนี้ไหนเลยใช้ได้คล่องแคล่วถนัดมือ แต่ใต้กระบี่กลับจารึกไว้ว่า กระบี่หนักไร้คม ใช้ได้คล่องแคล่ว ฝีมือการสร้างไม่ประณีต ก่อนอายุสี่สิบใช้พิชิตทั่วแผ่นดิน
กระบี่เล่มสุดท้าย เอี้ยก้วยคิดว่าต้องหนักยิ่งกว่ากระบี่เหล็กนิล จึงเกร็งลมปราณสู่แขนซ้าย แต่พอยกมากลับเบาหวิว ที่แท้เป็นเพียงกระบี่ไม้เปื่อยผุ จารึกไว้ว่า
"หลังอายุสี่สิบปี ไม่ยึดติดกับวัตถุ แม้นจะไผ่หรือหินล้วนคือกระบี่ นับแต่บัดนี้ ข้าไร้กระบี่อยู่เหนือกระบี่"
เอี้ยก้วยวางกระบี่ลงอย่างนอบน้อม ทอดถอนใจยาว แล้วกล่าวว่า ยอดวิชาของผู้อาวุโส สุดที่ผู้คนจะคาดคำนวณได้
ปริศนาธรรมที่แฝงไว้ในกระบี่ทั้ง 4 เล่ม
ในขณะที่ทุกคนหลงไปกับฝีมือและความเก่งกาจของ ต๊กโกวคิ้วป่าย ซึ่งทิ้งกระบี่ทั้ง 4 เล่ม ตกทอดไว้จนเอี้ยก้วยได้มาพบในมังกรหยกภาค 2 น้อยคนนักที่จะตระหนักถึงปริศนาธรรมที่ท่านอาจารย์กิมย้ง ซ่อนเอาไว้ในกระบี่ทั้ง 4 เล่มนี้ โดยใช้ตัวละครอย่าง ต๊กโกวคิ้วป่าย เป็นผู้อำพราง
กระบี่เล่มแรก เกรี้ยวกราดรุนแรง แสวงหาชื่อเสียง ฝึกฝนมุ่งมั่นเพื่อความเป็นหนึ่ง คือช่วงวัยหนุ่ม
กระบี่เล่มสอง ฆ่าคนเพื่อไต่เต้าสู่ความเป็นใหญ่ พลั้งมือทำร้ายคนดี จึงทิ้งกระบี่คือวัยสร้างชื่อ
กระบี่เล่มสาม เริ่มเข้าใจโลก หันมาใช้กระบี่หนัก แม้เคลื่อนไหวช้าลงแต่มีเวลาคิดมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่พลั้งมือทำร้ายคนดีอีก คือวัยตอนไร้ผู้เปรียบติดแล้ว
กระบี่เล่มสุดท้าย เข้าใจในโลก จึงละทิ้งกระบี่ มีอินทรีเป็นเพื่อน ปล่อยวางทุกสิ่ง สิ้นผู้ทัดเทียม
"หากดูให้ดีแล้วก็จะพบว่าสิ่งที่แฝงมากับความยิ่งใหญ่ของตัวละคร ต๊กโกวคิ้วป้ายผู้นี้ คือการสะท้อนแนวคิด ทัศนคติ และปรัชญาของอาจารย์กิมย้ง ที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงความไม่เที่ยงในช่วงชีวิตของคนเรานั้นเอง"
เพื่อนสนิท
ถ้าไม่นับอึ้งเซียะที่พบกันครั้งเดียวแต่ต่างฝ่ายต่างถูกใจนับเป็นสหายแล้ว เนื่องจาก ต๊กโกวคิ้วป้าย นั้นไม่เคยคบค้าสมาคมกับผู้ใด ส่วนใหญ่จะท้าประลองเสียมากกว่า ดังนั้นต๊กโกวคิ้วป้ายจึงไม่มีเพื่อนเป็นมนุษย์เลย เพื่อนของต๊กโกวคิ้วป้ายเป็นอินทรียักษ์ ซึ่งในภายหลังกลายมาเป็นเพื่อนกับ เอี้ยก้วยในมังกรหยก ภาค 2
วิชาตกทอด
เคล็ดกระบี่หนัก ความจริงมิได้มีการจารึกไว้ แต่อินทรียักษ์จำวิธีที่ต๊กโกวคิ้วป่ายฝึกได้ จึงบังคับให้เอี้ยก้วยทำตาม โดยฝึกกระบี่ในน้ำป่า รุกรับกับอินทรียักษ์ แนวทางกระบี่เป็นการเน้นกำลังหนักหน่วง ซึ่งถูกกล่าวกันว่าเอี้ยก้วยคือผู้สืบทอด "เคล็ดวิชาสายลมปราณ"
ซึ่งต่างจากเก้ากระบี่เดียวดายของต๊กโกวคิ้วป่ายในกระบี่เย้ยยุทธจักรที่เน้นการพลิกแพลงกระบวนท่า ยิ่งคู่ต่อสู้เก่งกาจมากเพียงใด เพลงกระบี่ก็แสดงอานุภาพล้ำลึกพิสดารตามมากเพียงนั้น โดยว่ากันว่า "ฟงชินหยาง" คือผู้สืบทอด "เคล็ดวิชาสายกระบี่"ของตำนาน ผู้แสวงพ่ายท่านนี้
ต๊กโกวคิ้วป้าย (เดียวดายแสวงหาความพ่ายแพ้) นั้นไม่ปรากฏที่มาที่ไป หรือชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงเลยสักครั้ง เพียงแต่ถูกกล่าวขึ้นมาลอยๆ ว่า เป็นยอดฝีมือที่มีอายุอยู่ในช่วงก่อนมังกรหยก ภาค 2 เพียง 80 ปีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าต้องเป็นรุ่นก่อนหน้าของห้ายอดฝีมือ เป็นช่วงกึ่งกลางระหว่างแปดเทพอสูรมังกรฟ้า กับ มังกรหยก ภาค 1 แต่กลับไม่มีการกล่าวถึงโดยเลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเขียนอธิบายของกิมย้งทำให้ทราบว่าช่วงก่อนหน้านั้น ต๊กโกวคิ้วป้ายได้สังหารยอดฝีมือของฝ่ายธรรมะและอธรรมเป็นจำนวนมาก จนแทบจะหมดยอดฝีมือไปช่วงหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลของการก้าวขึ้นเป็นยอดฝึมือของห้ายอดฝีมือนั่น และการที่ยอดฝีมือทั้งห้าไม่เคยกล่าวถึงต๊กโกวคิ้วป้ายมาก่อนเลย แม้จะมีผู้คนวิเคระห์ว่าหลังจากที่ต๊กโกวคิ้วป้ายไร้คู่ต่อสู้ก็ปลีกตัวหายไปจากยุทธจักรอย่างเงียบงัน ตามการอธิบายนี้ เหตุการณ์ที่อึ้งเซียะซึ่งเป็นยอดคนในสมัยราชวงศ์ซ่ง จึงไม่น่าจะมีโอกาสปะทะกับ ต๊กโกวคิ้วป้าย ได้จริงๆ
คิดค้นสุดยอดวิชา
เก้ากระบี่เดียวดายคือเคล็ดกระบี่ 9 เคล็ด ประกอบด้วย (เคล็ดทำลายกระบี่ เคล็ดทำลายดาบ เคล็ดทำลายทวนและกระบอง เคล็ดทำลายโซ่และฉมวก เคล็ดทำลายแส้ เคล็ดทำลายฝ่ามือ เคล็ดทำลายเกาทัณฑ์ (อาวุธลับ) เคล็ดทำลายลมปราณ และเคล็ดรวม) วิชาเก้ากระบี่เดียวดายเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่มีกระบวนท่าตายตัว โดยเนื้อแท้แล้ว เคล็ดทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อ "หาจุดอ่อนในจุดอ่อนนั่นเอง" ความหมายของจุดอ่อนในจุดอ่อนก็คือ จุดอ่อนที่ไม่สามารถละเลยได้ ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ทุกกระบวนท่ามีจุดอ่อน จะมากน้อยขึ้นกับประสบการณ์ของผู้ใช้ เมื่อมองเห็นจุดอ่อนในจุดอ่อนเราก็สามารถจู่โจมจุดนั้น ผลก็คือคู่ต่อสู้ต้องป้องกันตัว ระหว่างป้องกันตัวก็จะมีจุดอ่อนเกิดขึ้นอีก เราก็โจมตีจุดอ่อนนี้อีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนชนะ สรุปง่ายๆ ทุกกระบวนท่าสามารถทำลายได้ และเก้ากระบี่เดียวดายเป็นเคล็ดวิชาทำลายแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าคู่ต่อสู้ใช้ 1 ท่าเก้ากระบี่เดียวดายก็มีเพียง 1 ท่า ถ้าคู่ต่อสู้ใช้ 100 ท่า เก้ากระบี่เดียวดายก็มี 100 ท่าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเก้ากระบี่เดียวดายจะเป็นเคล็ดที่ไม่แพ้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะชนะเสมอไป เพราะเมื่อใช้เก้ากระบี่เดียวดายจะเกิดกระบวนท่า ซึ่งสามารถถูกทำลายได้เช่นเดียวกัน หรือจะให้พูดกันตรงๆก็คือ เก้ากระบี่เดียวดาย มีโอกาสเสมอ เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีประสบการณ์สูงกว่า นั้นเอง
แสวงพ่าย ไร้คู่ต่อกร
มารกระบี่ไร้พ่าย ต๊กโกวคิ้วป่าย ผู้บัญญัติวิชากระบี่เดียวดาย มีทั้งหมดแปดเคล็ด สยบอาวุธทั้งปวงในยุทธภพ หลังจากท่านได้สยบผู้คนมาทั่วยุทธภาพแล้ว ครั้งหนึ่งท่านได้ประลอง กับ อึ้งเซียะ ผู้บัญญัติวิชา เก้าอิมจินเอ็ง(สัจจะ9ปี) ท่านไม่เคยต้องใช้กระบี่สยบลมปราณที่กราดเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อนทำให้ การประลองยุทธที่ดุเดือดที่สุดในยุทธจักรก็อุบัติขึ้นโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ การรุกรับหักล้างกันของทั้งสองดำเนินไปติดต่อกันถึง3วัน3คืน การประลองออกมาไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะซะทีเดียว แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้กลับมาตัดสิน หลังจากการประลองครั้งแรกจบลง อึ้งเซียะที่สู้จนหมดแรง ต้องพบเคราะห์ร้ายจากศัตรูที่รอซ้ำเติมหลังการประลองระหว่างต๊กโกวกับอึ้งเซียะ ทำให้อึ้งเซียะหายสาบสูญจากยุทธภพไปนานถึง 40 ปี
(เกร็ดเล็กน้อย)ในการประลองระหว่าง อึ้งเซียะและต๊กโกว ทั้ง 2 ต่างชื่นชมกันเป็นอย่างมาก หลังการประลองจบลง
อึ้งเซียงประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า "เพลงกระบี่ของพี่ต๊กโกว ลึกล้ำสูงส่งยิ่งนัก ข้าพเจ้านับถือยิ่ง"
ต๊กโกวก็กล่าวตอบกลับ "พลังภายในของเจ้าก็กร้าวแกร่งหนักแน่น นับเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้โดยแท้ นับตั้งแต่ข้าท่องยุทธภพมา มีเจ้าเป็นคนแรกที่รับมือ8กระบี่ต๊กโกวได้ถึงเพียงนี้ เสียดายแต่ว่าเจ้ามีพลังภายในยอดเยี่ยม แต่กลับมีกระบวนท่าเรียบง่ายไม่เพียงพอต่อการฉกฉวยโอกาส มิเช่นนั้นความหวังที่จะพ่ายแพ้ของข้า คงพอจะมีอยู่บ้างแล้ว"
"แม้ในใจของข้าจะแสวงหาความพ่ายแพ้เพราะไม่อาจพบพานคู่มือที่เปรียบติด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมสยบให้ผู้คนโดยง่าย หลังจากนี้ข้าจะลองคิดค้นกระบวนท่าที่จะทำลายพลังลมปราณของเจ้าดูบ้าง! เมื่อเจ้าคิดค้นกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมได้บ้างแล้ว เราสองจงมาประลองกันอีกครั้ง ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ "
หลังจากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ได้คิดค้นสุดยอดวิชาของตนเองขึ้น ต๊กโกวคิดค้นเพลงกระบี่ท่าที่เก้าสยบลมปราณ สำเร็จรวมเคล็ดทั้ง 9 เป็น เก้ากระบี่เดียวดาย ส่วนอึ้งเซียะก็คิดค้นวิชากรงเล็บกระดูกขาว เก้าอิมจินเอ็ง จนสำเร็จ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า นับจากนั้นเป็นต้นมาทั้ง 2 ก็มิเคยได้พบหน้ากันอีกเลย
นับเป็นอีกเทคนิคหนึ่งของท่านกิมย้งที่ต้องการสร้างเรื่องราว ให้ผู้อ่านได้ไปจินตนาการต่อกันเอง อย่างลึกซึ้งและน่าค้นหาอย่างทีสุด
บั้นปลายของผู้ไม่แพ้ ปิดตำนานยุทธภพ
ต๊กโกวได้ท่องเที่ยวเสาะหาเบาะแสของอึ้งเซียะ เพียงลำพัง และยังคิดค้นกระบวนท่าที่9 "ทำลายลมปราณ"เพิ่มเติมลงจากเดิม8ท่าได้สำเร็จ เรียกเพลงกระบี่ทั้งหมดที่ตนเองคิดขึ้นมาว่า "เก้ากระบี่เดียวดาย" สยบเหล่าศัตรูและผู้กล้าได้ทั่วทั้งแผ่นดิน ความหมายของคำว่าเดียวดายนอกจากจะบ่งบอกถึงความเศร้าที่ไร้ผู้เปรียบติดแล้ว ยังแสดงถึงความคิดคำนึงถึงอึ้งเซียะสหายผู้ทัดเทียมเพียงคนเดียว ส่วนกระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ที่ใช้ต่อสู้กับอึ้งเซียะ ต๊กโกวได้ขว้างทิ้งลงหน้าผา เนื่องเพราะมันได้ทำร้าย"จอมยุทธฝ่ายธรรมะ"ที่แท้จริงอย่างอึ้งเซียงไป จึงนับเป็นศาสตราอัปมงคลยิ่ง และหันไปใช้กระบี่นิลที่ไร้คมและมีน้ำหนักมากแทน ส่วนหนึ่งก็เพื่อคิดค้นกระบวนท่าทำลายลมปราณเพื่อรอวันที่อึ้งเซียะจะหวนกลับมาตามคำมั่นสัญญา ทว่า ผ่านกาลเวลาไปหลายสิบปี ต๊กโกวก็ยังไม่พบเห็นข่าวคราวของอึ้งเซียะเลย ทั้งยังได้ยินว่าศัตรูของอึ้งเซียะที่มีอายุมากหลายคน ได้พากันล้มตายไปตามอายุขัยเยอะแล้ว จึงได้ละทิ้งยุทธภพที่ไร้ซึ่งคู่มือตน ไปพำนักยังสถานที่เร้นลับและได้พบกับอินทรีน้อยตัวหนึ่งที่บินไม่ได้ อินทรีตัวนี้มีความจำดีเยี่ยมยิ่งนัก มันคอยมองดูวิธีการฝึกปรือของต๊กโกวจนขึ้นใจ แล้วนำไปดัดแปลงใช้จับเหยื่อหากิน ชดเชยข้อเสียเปรียบที่บินไม่ได้ กระทั่งมันเติบใหญ่สูงกว่าต๊กโกว ต๊กโกวจึงยึดเอามันเป็นคู่ซ้อมมือแก้เหงา จนในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตไร้กระบี่เหนือกระบี่ และได้ฝังกระบี่ที่เคยใช้ทั้งหมดไว้ พร้อมกับเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับกระบี่ของตน ก่อนจะสิ้นชีพในอีกไม่กี่ปีต่อมาอย่างสงบ
มรดกของต๊กโกวคิ้วป้าย
อมตะวาจา
ท่องยุทธจักร กว่าสามสิบปีพิชิตศัตรู สังหารอริราช วีรบุรุษห้าวหาญ ทั่วทั้งโลกหล้าไร้ผู้ต่อกร สิ้นผู้ทัดเทียม ได้แต่เร้นกายในหุบเขาลึก มีอินทรีเป็นเพื่อน โออนิจจาในชีวิตคิดแสวงหาคู่มือสักคนยังไม่พบพาน นับว่าเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างสุดคณา
"ลงชื่อ เกี่ยมม้อ (กระบี่อสูร) ต๊กโกวคิ้วป่าย"
สุสานกระบี่
อีกสิ่งที่ต๊กโกวคิ้วป่ายได้ทิ้งไว้ และยืนยันถึงการมีตัวตนและระดับพลังฝีมือในเชิงกระบี่ของเขา นั้นคือสุสานกระบี่ ซึ่งต่อมาในมังกรหยกเอี้ยก้วยได้เป็นผู้ไปพบเข้า โดยสุสานกระบี่นั้นตั้งอยู่บนแท่นหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผาสูงชัน จารึกข้อความไว้ว่า กระบี่อสูรต๊กโกวคิ้วป่าย เมื่อพิชิตทั่วแผ่นดินไร้ผู้ต่อต้าน จึงฝังกระบี่ไว้สถานที่นี้ โอ้อนิจจา เหล่าผู้กล้าอับจนวิธี เสียทีที่กระบี่คมกล้า เป็นที่น่าอนาถใจ เอี้ยก้วยเมื่อเห็นข้อความก็รู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีนิสัยทระนงถือดี ท่องเที่ยวเพียงลำพัง มีส่วนคล้ายกับนิสัยใจคอของเขา สุสานกระบี่ก็ครอบครองชัยภูมิที่ดี คาดว่าคนผู้นี้ปราดเปรื่องทั้งบุ๋นและบู๊ มีปณิธานเหนือคนธรรมดา นับเป็นยอดคนที่น่าเลื่อมใส ในสุสานกระบี่มีกระบี่วางเรียงอยู่บนแท่นหินเขียว กระบี่ที่วางเรียงมีสามเล่ม ระหว่างเล่มแรกกับเล่มที่สองขั้นไว้ด้วยแผ่นหินแท่งยาวแท่งหนึ่ง
ใต้กระบี่แรกได้สลักอังษรไว้ว่า เกรี้ยวกราดรุนแรง ทำลายล้างทุกสิ่ง เมื่อวัยหนุ่มฉกรรจ์ ใช้ชิงชัยกับเหล่าผู้กล้าแคว้นฮ่อซวก ลักษณะกระบี่มีความยาวประมาณสี่เชียะ เปล่งประกายสีเขียว นับเป็นศัสตราวุธคมกล้า
ถัดมาเป็นแท่งหิน เมื่อยกขึ้นมีข้อความจารึกไว้ว่า กระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ใช้ก่อนอายุสามสิบ พลั้งมือทำร้ายผู้กล้าฝ่ายธรรมมะ ถือเป็นสิ่งอัปมงคล โยนทิ้งลงสู่ก้นหุบเหว
กระบี่เล่มที่สาม เป็นกระบี่สีดำมีน้ำหนักมาก ปลายโค้งมนไม่มีคม กระบี่แบบนี้ไหนเลยใช้ได้คล่องแคล่วถนัดมือ แต่ใต้กระบี่กลับจารึกไว้ว่า กระบี่หนักไร้คม ใช้ได้คล่องแคล่ว ฝีมือการสร้างไม่ประณีต ก่อนอายุสี่สิบใช้พิชิตทั่วแผ่นดิน
กระบี่เล่มสุดท้าย เอี้ยก้วยคิดว่าต้องหนักยิ่งกว่ากระบี่เหล็กนิล จึงเกร็งลมปราณสู่แขนซ้าย แต่พอยกมากลับเบาหวิว ที่แท้เป็นเพียงกระบี่ไม้เปื่อยผุ จารึกไว้ว่า
"หลังอายุสี่สิบปี ไม่ยึดติดกับวัตถุ แม้นจะไผ่หรือหินล้วนคือกระบี่ นับแต่บัดนี้ ข้าไร้กระบี่อยู่เหนือกระบี่"
เอี้ยก้วยวางกระบี่ลงอย่างนอบน้อม ทอดถอนใจยาว แล้วกล่าวว่า ยอดวิชาของผู้อาวุโส สุดที่ผู้คนจะคาดคำนวณได้
ปริศนาธรรมที่แฝงไว้ในกระบี่ทั้ง 4 เล่ม
ในขณะที่ทุกคนหลงไปกับฝีมือและความเก่งกาจของ ต๊กโกวคิ้วป่าย ซึ่งทิ้งกระบี่ทั้ง 4 เล่ม ตกทอดไว้จนเอี้ยก้วยได้มาพบในมังกรหยกภาค 2 น้อยคนนักที่จะตระหนักถึงปริศนาธรรมที่ท่านอาจารย์กิมย้ง ซ่อนเอาไว้ในกระบี่ทั้ง 4 เล่มนี้ โดยใช้ตัวละครอย่าง ต๊กโกวคิ้วป่าย เป็นผู้อำพราง
กระบี่เล่มแรก เกรี้ยวกราดรุนแรง แสวงหาชื่อเสียง ฝึกฝนมุ่งมั่นเพื่อความเป็นหนึ่ง คือช่วงวัยหนุ่ม
กระบี่เล่มสอง ฆ่าคนเพื่อไต่เต้าสู่ความเป็นใหญ่ พลั้งมือทำร้ายคนดี จึงทิ้งกระบี่คือวัยสร้างชื่อ
กระบี่เล่มสาม เริ่มเข้าใจโลก หันมาใช้กระบี่หนัก แม้เคลื่อนไหวช้าลงแต่มีเวลาคิดมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่พลั้งมือทำร้ายคนดีอีก คือวัยตอนไร้ผู้เปรียบติดแล้ว
กระบี่เล่มสุดท้าย เข้าใจในโลก จึงละทิ้งกระบี่ มีอินทรีเป็นเพื่อน ปล่อยวางทุกสิ่ง สิ้นผู้ทัดเทียม
"หากดูให้ดีแล้วก็จะพบว่าสิ่งที่แฝงมากับความยิ่งใหญ่ของตัวละคร ต๊กโกวคิ้วป้ายผู้นี้ คือการสะท้อนแนวคิด ทัศนคติ และปรัชญาของอาจารย์กิมย้ง ที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงความไม่เที่ยงในช่วงชีวิตของคนเรานั้นเอง"
เพื่อนสนิท
ถ้าไม่นับอึ้งเซียะที่พบกันครั้งเดียวแต่ต่างฝ่ายต่างถูกใจนับเป็นสหายแล้ว เนื่องจาก ต๊กโกวคิ้วป้าย นั้นไม่เคยคบค้าสมาคมกับผู้ใด ส่วนใหญ่จะท้าประลองเสียมากกว่า ดังนั้นต๊กโกวคิ้วป้ายจึงไม่มีเพื่อนเป็นมนุษย์เลย เพื่อนของต๊กโกวคิ้วป้ายเป็นอินทรียักษ์ ซึ่งในภายหลังกลายมาเป็นเพื่อนกับ เอี้ยก้วยในมังกรหยก ภาค 2
วิชาตกทอด
เคล็ดกระบี่หนัก ความจริงมิได้มีการจารึกไว้ แต่อินทรียักษ์จำวิธีที่ต๊กโกวคิ้วป่ายฝึกได้ จึงบังคับให้เอี้ยก้วยทำตาม โดยฝึกกระบี่ในน้ำป่า รุกรับกับอินทรียักษ์ แนวทางกระบี่เป็นการเน้นกำลังหนักหน่วง ซึ่งถูกกล่าวกันว่าเอี้ยก้วยคือผู้สืบทอด "เคล็ดวิชาสายลมปราณ"
ซึ่งต่างจากเก้ากระบี่เดียวดายของต๊กโกวคิ้วป่ายในกระบี่เย้ยยุทธจักรที่เน้นการพลิกแพลงกระบวนท่า ยิ่งคู่ต่อสู้เก่งกาจมากเพียงใด เพลงกระบี่ก็แสดงอานุภาพล้ำลึกพิสดารตามมากเพียงนั้น โดยว่ากันว่า "ฟงชินหยาง" คือผู้สืบทอด "เคล็ดวิชาสายกระบี่"ของตำนาน ผู้แสวงพ่ายท่านนี้
HTML5
[ ]